Ninefar

อะโดบีคาดการณ์ช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้ยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ จะสูงถึง124 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณกว่า 4 ล้านล้านบาท)

ผู้ค้าปลีกที่มีทั้งระบบออนไลน์และหน้าร้านจะมียอดขายทางออนไลน์สูงขึ้น 28 เปอร์เซ็นต์ หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของ SKU สินค้าผลักดันยอดขายออนไลน์ 70 เปอร์เซ็นต์ การช้อปปิ้งแบบสั่งงานด้วยเสียงได้รับความนิยมมากขึ้น

 

กรุงเทพฯ – 7พฤศจิกายน 2561–อะโดบี (Nasdaq:ADBE) เปิดเผยข้อมูลคาดการณ์เกี่ยวกับการซื้อสินค้าทางออนไลน์ในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปี 2561 (1 พ.ย. ถึง 31 ธ.ค.) โดยอ้างอิงข้อมูลจากAdobe Analytics ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Adobe Sensei  ทั้งนี้ อะโดบีคาดการณ์ว่ายอดขายทางออนไลน์ในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 14.8 เปอร์เซ็นต์ และแตะระดับ 124.1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดค้าปลีกออฟไลน์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 เปอร์เซ็นต์* และไซเบอร์มันเดย์(Cyber Monday) จะสร้างสถิติใหม่ โดยเป็นวันที่มียอดช้อปปิ้งออนไลน์สูงสุดและเติบโตเร็วที่สุดในช่วงปี ด้วยยอดขาย 7.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.6 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY)  ยอดขายออนไลน์ในช่วงเวลา 19.00 น. ถึง22.00น. ตามเวลาฝั่งแปซิฟิกในช่วงไซเบอร์มันเดย์ คาดว่าจะสร้างยอดรายได้มากกว่าหนึ่งวันโดยเฉลี่ยในปี 2561 โดยในช่วงเวลานาทีทองของธุรกิจออนไลน์นี้ จะมีอัตราการคลิกเพื่อซื้อสินค้าสูงสุดในช่วงปี นั่นคือ 7.3 เปอร์เซ็นต์

 

ส่วนยอดขายในช่วงวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 16.5 เปอร์เซ็นต์ โดยยอดขายอยู่ที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์  ทั้งนี้ เกือบหนึ่งในห้าดอลลาร์ในช่วงเทศกาลนี้จะถูกใช้จ่ายในช่วงระหว่างวันขอบคุณพระเจ้าและไซเบอร์มันเดย์ โดยยอดใช้จ่ายจะอยู่ที่ 23.4 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 19 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายออนไลน์ทั้งหมด  หนึ่งวันปฏิทินที่เพิ่มเข้ามาระหว่างช่วงไซเบอร์มันเดย์และวันคริสต์มาสจะทำให้ผู้ค้าปลีกมียอดขายเพิ่มขึ้น 284 ล้านดอลลาร์  และจำนวนวันที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์จะทำให้ยอดรายได้แตะระดับสถิติใหม่ นั่นคือ ในช่วง 36 วันจะมียอดขายเกินกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเพียง 22 วันในปี 2560  ส่วนของขวัญที่คาดว่าจะได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ ทีวี 4K, คอนโซลและเกมวิดีโอย้อนยุค รวมถึงของเล่นต่างๆ เช่น Pomsies, GrumbliesและFortnite Monopoly

นายจอห์น โคปแลนด์ หัวหน้าฝ่ายข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดและลูกค้าของอะโดบี กล่าวว่า “ขณะที่ยอดช้อปปิ้งออนไลน์พุ่งสูงขึ้นและทำสถิติใหม่อีกครั้งในช่วงเทศกาลวันหยุด ผู้ค้าปลีกที่มีเว็บไซต์ที่น่าสนใจ บวกกับทำเลที่ตั้งห้างร้านที่ดีจะมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง  ผู้ซื้อจำนวนมากต้องการที่จะสัมผัสกับสินค้าและแบรนด์ในร้านค้า และความสามารถในการรับสินค้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์จากร้านสาขาในละแวกใกล้เคียงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม”

ผู้ค้าปลีกที่มีร้านค้าทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์คาดว่าจะมียอดขายทางออนไลน์สูงกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ค้าปลีกที่ไม่มีหน้าร้านแบบออฟไลน์  ข้อมูลจาก Adobe Analytics คาดการณ์ว่า ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าทางออนไลน์และเดินทางไปรับสินค้าจากที่ร้าน (buying online and picking up items in-store – BOPIS) เพิ่มมากขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้ โดยผู้ค้าปลีกทุกรายมียอด BOPIS เพิ่มขึ้น 119 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 และเพิ่มขึ้นกว่า 250 เปอร์เซ็นต์สำหรับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่**  จากผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกว่า 1,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่ง (47 เปอร์เซ็นต์) มีแผนที่จะเลือกดูสินค้าภายในร้าน แล้วค่อยสั่งซื้อทางออนไลน์ในภายหลัง โดยตัวเลขสัดส่วนดังกล่าวสูงถึง 58 เปอร์เซ็นต์สำหรับกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennial)
ข้อมูลคาดการณ์เพิ่มเติมมีดังนี้:

 

 

 

 

 

 

ระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษา

อะโดบีใช้ Adobe Sensei ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการเรียนรู้ของเครื่อง(Machine Learning) ของอะโดบี เพื่อระบุข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกจากจุดข้อมูลหลายล้านล้านจุดที่ไหลเวียนผ่านระบบ Adobe Analytics และMagento Commerce Cloud ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Adobe Experience Cloudทั้งนี้ Adobe Analytics วิเคราะห์ข้อมูลการเยี่ยมชมเว็บไซต์ค้าปลีกในสหรัฐฯ ราวหนึ่งล้านล้านครั้ง รวมไปถึงสินค้า55 ล้าน SKU และผู้ค้าปลีกผ่านเว็บรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ 80 รายจากทั้งหมด 100 ราย*** ซึ่งมากกว่าบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ

มีเพียงข้อมูลวิเคราะห์ของอะโดบีเท่านั้นที่ครอบคลุมผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กในกว่า 50 หมวดหมู่สินค้า ซึ่งขับเคลื่อนด้วยระบบ Magento Commerce Cloud เพื่อนำเสนอมุมมองที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดในแวดวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับช้อปปิ้งออนไลน์ในสหรัฐฯ  ทั้งนี้ Adobe Experience Cloud จัดการธุรกรรมข้อมูลมากกว่า 200 ล้านล้านรายการในแต่ละปี  การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องอ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกว่า 1,000 คนในสหรัฐฯ ในช่วงเดือนตุลาคม 2561