Ninefar

ออฟฟิศอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพ ต้องรวมศูนย์จัดการและสื่อสารผ่านคลาวด์

ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีหลายหน่วยงานของภาครัฐยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านในการติดต่อราชการ และหันมาใช้แอปพลิเคชันเป็นเครื่องมือในการฟังเสียงความพึงพอใจจากประชาชน นับเป็นก้าวสำคัญของการเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 อีกทั้งยังมีแผนระยะสั้นและระยะยาวเชื่อมโยงระบบสารสนเทศของหน่วยงานรัฐ ให้สามารถเรียกดูและบันทึกเอกสารทางราชการเพื่อให้บริการประชาชน ในขณะเดียวกันที่องค์กรธุรกิจจำนวนมากต่างเริ่มนำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาปรับใช้ในการขับเคลื่อนการทำงานของตนเองสู่การเป็นองค์กรที่มีนวัตกรรมดิจิทัลเช่นกัน อาทิ เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับจัดการกับเอกสารจำนวนมาก หรือเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความได้เปรียบและขยายโอกาสทางธุรกิจสู่การเป็นผู้นำธุรกิจในยุคดิจิทัล

 

นอกจากนี้ เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของการทำงานในทุกวันนี้ คือ ต้องสามารถทำจากที่ไหน เวลาไหน ด้วยอุปกรณ์อะไรก็ได้ ดังนั้น การสื่อสารภายในองค์กรระหว่างพนักงาน ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง ในยุคโมบายล์เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ด้วยเหตุนี้ องค์กรที่ต้องการเดินหน้าไปสู่ดิจิทัลจึงต้องวางแผนการสื่อสารซึ่งเป็นหัวใจหลักในการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ แม้กระทั่งงานด้านเอกสารก็ต้องทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

 

เทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาแรงในโลกการทำงานยุคนี้หนีไม่พ้นเทคโนโลยีคลาวด์และโมบายล์ ที่ช่วยให้องค์กรและผู้ใช้งานทั่วไปสามารถจัดเก็บข้อมูลต่างๆ เป็นไฟล์ดิจิทัลได้สะดวกยิ่งขึ้น เข้าถึงงานได้ทุกที่ ทุกเวลา ทำให้การทำงานไม่จำกัดอยู่แค่ที่ออฟฟิศอีกต่อไป ตอนนี้หลายองค์กรหันมาให้ความสนใจลงทุนเกี่ยวกับคลาวด์เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการก้าวสู่ยุค Digital Transformation อย่างเต็มรูปแบบรายงาน “FutureScapes 2018” โดยไอดีซี ประเทศไทย เผยว่า คลาวด์ 2.0 จะกระจายตัวและเฉพาะทางมากขึ้น ภายในปี 2564 การลงทุนขององค์กรในบริการคลาวด์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการที่ใช้งานผ่านคลาวด์จะเพิ่มจนสูงกว่า 4.8 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

 

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงในยุค Digital Transformation นี้ ส่งผลให้รูปแบบการทำงานของบุคลากรในองค์กรเปลี่ยนตามไปด้วยIWG เผยผลสำรวจเกี่ยวกับทัศนคติต่อการทำงานที่ยืดหยุ่น จากกลุ่มตัวอย่างนักธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมจำนวน 18,000 คน จาก 96 ประเทศ แสดงให้เห็นว่าคนทำงานทั่วโลกจำนวน 2 ใน 3 มักทำงานนอกสถานที่ในทุกสัปดาห์ และมีจำนวนถึงร้อยละ 50 ทำงานนอกสถานที่บ่อยครั้งถึงครึ่งหนึ่งของสัปดาห์ นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า การทำงานที่ยืดหยุ่นไม่เพียงจะช่วยลดเวลาการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พนักงานทำงานในองค์กรนานมากขึ้นเพราะมีความพึงพอใจในงานที่ทำช่วยให้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ทั้งยังให้ผลดีต่อการวางแผนกลยุทธ์ด้านการเงินที่คุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจอีกด้วย ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย)ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม Cloud Communication Tools & Cloud Service Hub มีแนวคิดในการยกระดับสำนักงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์คนทำงานรุ่นใหม่ ดังนี้

 

 

 

 

เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การทำงานของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย)ได้นำเสนอแนวคิด “Smart Work Gateway” หรือ SWG ในการทำงาน เป็นการสร้างระบบการสื่อสารที่ปลอดภัยแต่เปิดกว้าง ให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากเครื่องมือสื่อสารที่ออกแบบมาให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละบุคคล พร้อมผสานรูปแบบการทำงานด้วยแพลตฟอร์มCloud Service Hubที่ยกระดับอุปกรณ์มัลติฟังก์ชันให้เป็นพอร์ทัลการสื่อสาร เพียงเชื่อมโยงอุปกรณ์มัลติฟังก์ชันเข้ากับบริการคลาวด์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานร่วมกับพนักงานอื่นๆ ในทีม เพราะลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ทำงาน ตอบโจทย์การทำงานในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี