PR

DHL เดินหน้าบุกตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย

005 DHL eCommerce__ARR_8397
DHL
  • DHL eCommerceมุ่งขยายขอบข่ายการให้บริการด้วยเครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศพร้อมบริการจัดส่งสินค้าในรูปแบบ B2C(Business-to-Consumers)ระหว่างประเทศในราคาประหยัด
  • ขยายบริการรับสินค้าถึงที่ให้กับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซรายย่อย เพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs กว่า 7 ล้านรายทั่วประเทศไทย

 

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2560:DHL eCommerce บริษัทในเครือ Deutsche Post DHLGroup – DPDHL Group ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านโลจิสติกส์ของโลก เดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่คาดว่าจะโตขึ้นถึง 3 เท่า ที่มูลค่า 3,600 ล้านยูโร หรือประมาณ 140,000 ล้านบาทภายในปี พ.ศ. 2563 โดยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศด้วยบริการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสำหรับผู้บริโภคในพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ รวมถึงการขยายบริการรับสินค้าถึงที่ให้กับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซรายย่อยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น

DHL eCommerce เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2559 นำเสนอบริการจัดส่งสินค้าภายในประเทศแบบครบวงจร และบริการจัดส่งสินค้าในรูปแบบB2Cระหว่างประเทศในราคาที่เข้าถึงได้สำหรับผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และบริการ fulfillmentที่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงผ่านเครือข่ายระดับโลกของDPDHL Group

008 DHL eCommerce__ARR_8397

เกียรติชัย พิตรปรีชา กรรมการผู้จัดการ DHL eCommerce ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 22% ต่อปีจนถึงปี พ.ศ. 2563 ในขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วนี้  ผู้บริโภคก็มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งในเรื่องความคุ้มค่าและสมเหตุสมผลของราคาค่าบริการ รวมถึงคุณภาพของการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ด้วยเหตุนี้เราจึงขยายการลงทุนพัฒนาการให้บริการในด้านต่างๆ เพื่อให้ DHL eCommerce ประเทศไทย เป็นตัวเลือกอันดับ 1 ของผู้บริโภคในประเทศไทย”

 0000 DHL eCommerce__ARR_8397

“เรากำลังพัฒนาและเสริมสร้างเครือข่ายการจัดส่งสินค้าภายในประเทศของเราให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อมอบบริการที่เหนือกว่าในพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าอีคอมเมิร์ซในต่างจังหวัดที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างทั่วถึงด้วยบริการที่มีมาตรฐานและคุณภาพ นอกจากนี้เราได้ขยายบริการด้านการรับสินค้าถึงที่ (pick-up service) สำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs กว่า 2.7 ล้านรายในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภค โดยผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาเดินทางและรอเข้าคิวเพื่อจัดส่งสินค้าอีกต่อไป ทำให้มีเวลาในการพัฒนาและขยายธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น”

 





Click to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

To Top